กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของแรงงานในประเทศไทย และเพื่อให้ทุกคนได้รับการคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในบทความนี้ เรามาดูคำถามที่พบบ่อยและคำตอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อให้คุณเข้าใจในรายละเอียดอย่างครบถ้วน
กลุ่มเป้าหมายที่กองทุนให้ความช่วยเหลือ
กลุ่มเป้าหมายของกองทุนฯ คือ ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงาน โดยเฉพาะลูกจ้างในสถานประกอบการภาคเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนนี้โดยอัตโนมัติ
(หากกิจการใดมีระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ลูกจ้างทุกคนอยู่แล้วก็อาจได้รับการยกเว้น) เป้าหมายคือให้แรงงานไทย ทุกคน มีหลักประกันทางสังคมรองรับ โดยเฉพาะในยามที่เกิดปัญหาในการจ้างงาน เช่น ถูกเลิกจ้างหรือบริษัทปิดกิจการกะทันหัน ลูกจ้างในกลุ่มเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด
รวมคำถามที่พบบ่อย
เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและการขอรับสิทธิจากกองทุนนี้
คำถามที่ 1 กรณีนายจ้างไม่ส่งเงินสะสมและเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบ จะมีบทลงโทษอย่างไร?
คำตอบ หากนายจ้างไม่ส่งเงินสะสมและเงินสมทบครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดจะต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่กองทุนในอัตรา 5% ต่อเดือน
คำถามที่ 2 ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคืนเมื่อไหร่?
คำตอบ เมื่อลูกจ้างออกจากงาน เช่น ลาออก เกษียณ สิ้นสุดสัญญาจ้าง ถูกเลิกจ้างโดยกระทำความผิด หรือไม่มีความผิด จะได้รับบัตรประชาชน เซ็นลาออก และออกผลการแจ้งดังกล่าว
กรณีที่ลูกจ้างตาย จะจ่ายให้กับบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามที่ลูกจ้างได้ทำไว้ก่อนเสียชีวิต หรือให้ทายาทโดยธรรม หากไม่มีบุคคลผู้มีสิทธิดังกล่าว ให้แจ้งดังกล่าวตกแก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
คำถามที่ 3 บทกำหนดโทษ กรณีนายจ้างไม่ยื่นแบบฯ หรือไม่แจ้งเป็นหนังสือ หรือแก้ไขเพิ่มเติม ภายในเวลาที่กำหนด ตามมาตรา 130 หรือยื่นแบบโดยกรอกข้อความเท็จ มีโทษอย่างไร?
คำตอบ: หากนายจ้างไม่ยื่นแบบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 130 หรือยื่นแบบโดยมีข้อความเท็จ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คำถามที่ 4 กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเริ่มดำเนินการเมื่อใด?
คำตอบ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเริ่มดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาที่กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีการเก็บเงินสะสมและเงินสมทบจากลูกจ้างและนายจ้างฝ่ายละเท่ากัน
อบรม หน้าที่นายจ้างเกี่ยวกับการจัดเก็บเงินสะสม และเงินสมทบของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และแนวโน้มการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ 2568
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
🔥 ด่วนที่สุด! 🚨 กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายใหม่ บังคับใช้ 1 ตุลาคม 2568 🔥
📌 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีออกจากงาน หรือตาย หรือกรณีอื่นที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
📌 คำถามสำคัญ: กรณีกิจการที่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่มีลูกจ้างบางรายไม่ได้เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อกฎหมายกองทุนสงเคราะห์เริ่มใช้บังคับในปี 2568?
✅ หลักสูตรด่วนที่สุด... กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายใหม่ ใช้บังคับ 1 ตุลาคม 2568
⚖️ มารับข้อมูลที่สำคัญและเตรียมตัวให้พร้อมกับการอบรมหลักสูตรที่จะช่วยให้คุณเข้าใจกฎหมายใหม่และวิธีการดำเนินการอย่างถูกต้อง!
✅ วัตถุประสงค์และความเป็นมาของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
✅ แนวโน้มการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับปี 2568
✅ ประโยชน์และความสำคัญของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
✅ ความแตกต่างระหว่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนประกันสังคม และกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
✅ ประเภทกิจการใดบ้าง ที่อยู่ในการบังคับและไม่บังคับ ต้องเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
✅ หลักเกณฑ์วิธีการกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง
✅ หลักเกณฑ์และการนำส่งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
✅ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้รับคืนเมื่อใด
✅ หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่นายจ้าง
✅ หน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง และบทกำหนดโทษหากไม่ปฏิบัติตาม
✅ นายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ลูกจ้างบางรายไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุน จะมีหลักปฏิบัติอย่างไร?
✅ กิจการสามารถกำหนดให้ลูกจ้างที่ยังไม่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องเข้าเป็นสมาชิกได้หรือไม่?
👩🏫 หลักสูตรนี้จะทำให้คุณเข้าใจและสามารถจัดการกับกฎหมายกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างใหม่ได้อย่างถูกต้อง พร้อมเตรียมความพร้อมก่อนวันที่กฎหมายจะบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2568
🔥 พร้อมตอบทุกคำถามที่คุณสงสัย🔥
📅 อบรมวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2568
📍 สถานที่: โรงแรม โนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ
💰 ราคา: บุคคลทั่วไป 3,500.- / สมาชิก 3,000.-
🕘 เวลา: 09:00 – 16:00 น.
🔥 จองด่วน! https://bit.ly/4iW05R5
คำถามที่ 5 กิจการที่อยู่ในบังคับต้องเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคืออะไร?
คำตอบ กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จะต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
คำถามที่ 6 กิจการใดบ้างที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
คำตอบ กิจการที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2541) เช่น มูลนิธิ สมาคม ฯลฯ
องค์กรภาครัฐที่ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายแรงงาน
ลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับงานบ้านที่ไม่มีการประกอบธุรกิจของผู้จ้าง
งานประมงทะเล
งานเกษตรกรรมที่ไม่จ้างลูกจ้างทำงานตลอดทั้งปี
ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายโรงเรียนเอกชน
คำถามที่ 7 นายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว ต้องมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างหรือไม่?
คำตอบ ลูกจ้างที่มีได้อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงาน หรือเสียชีวิต ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 จะต้องจัดให้เป็นสมาชิกของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างด้วย
คำถามที่ 8 การนำส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่?
คำตอบ
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2573
➤ จัดเก็บ 0.25% ของค่าจ้าง ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป
➤ จัดเก็บ 0.50% ของค่าจ้าง ทั้ง 2 ฝ่าย
สรุปจุดเด่นและประโยชน์ที่ลูกจ้างควรรู้
- หลักประกันทางการเงินยามออกจากงาน: กองทุนฯ ทำหน้าที่เสมือนเงินออมสำรองให้ลูกจ้าง เมื่อออกจากงานก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินสะสมและเงินสมทบคืนเต็มจำนวน ช่วยรองรับการดำรงชีพในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยเกษียณหรือว่างงานได้
- ช่วยเหลือเมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: หากถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยที่ควรได้ หรือนายจ้างเบี้ยวค่าจ้าง กองทุนนี้จะไม่ปล่อยให้ลูกจ้างสูญเสียสิทธิทั้งหมด แต่จะเข้ามาช่วยจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
- ลูกจ้างจึงอุ่นใจได้ว่ามีที่พึ่งแม้นายจ้างจะไม่ทำตามกฎหมาย
- คุ้มครองครอบครัวกรณีเสียชีวิต: สิทธิประโยชน์จากกองทุนไม่ได้หยุดแค่ตัวลูกจ้าง หากลูกจ้างเสียชีวิต เงินสะสมในกองทุนยังถูกส่งต่อให้ทายาทหรือผู้มีสิทธิได้รับตามที่ระบุไว้ เป็นการช่วยเหลือครอบครัวของลูกจ้างในยามวิกฤตอีกทางหนึ่ง
- ดำเนินการโดยภาครัฐ เชื่อถือได้: กองทุนฯ บริหารโดยกระทรวงแรงงานผ่านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงมีความน่าเชื่อถือและโปร่งใส เงินกองทุนได้รับการดูแลและจ่ายออกตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ลูกจ้างสามารถตรวจสอบสิทธิของตนเองได้เสมอ
- หลักประกันความมั่นใจให้ลูกจ้าง: สุดท้ายนี้ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างถือเป็นมากกว่ามาตรการด้านแรงงานทั่วไป แต่เป็น ความมั่นใจที่ลูกจ้างทุกคนควรมี ในกรณีที่เกิดความไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน
ทุกคนควรตรวจสอบสิทธิของตนและรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนนี้ไว้ เพื่อปกป้องตนเองและครอบครัวยามเกิดเหตุฉุกเฉินหรือวิกฤตในการจ้างงาน หากเรารู้สิทธิและเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริงเราก็จะสามารถรับมือได้อย่างมั่นใจและได้รับความช่วยเหลือตามสิทธิที่พึงได้อย่างเต็มที่